หลังจากที่เราได้อธิบายให้เห็นว่าจริงๆแล้วชาว Gen-C คือใคร มีพฤติกรรมยังไงและทำไมถึงสำคัญต่อธุรกิจในยุคปัจจุบันมากนัก (อ่านบทความเพิ่มเติม) วันนี้เรามี 5 เทคนิคทำการตลาดกับคนกลุ่มนี้มาให้ชมกันผ่านช่องทางที่เราเรียกว่า Social Media Commerce หรือ S-Commerce
ทำไมต้อง S-Commerce?
จากข้อมูลพบว่า Smartphone หรือ Mobile Device ต่างๆเป็นช่องทางเข้าถึง Internet ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด แซงหน้า Computer, Notebook ทุกประเภทไปเรียบร้อยแล้ว และกิจกรรมอันดับ 1 ของชาว Gen-C ที่เข้าไปทำบน Internet ก็คือ “Social Media”
- “S-Commerce คือการขายสินค้าโดยอาศัยมวลชนและสังคมเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความอยากและการซื้อเกิดขึ้น ผ่านเทคโนโลยีของ Social Network”– Pawoot.com และนี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำการตลาดบน Social Media นั้นเอง
ภาพรวม S Commerce ในประเทศไทยตอนนี้ยังเน้นหลักไปที่ Facebook และ Instagram ซึ่งแต่ละช่องทางก็จะมีวิธีการทำการตลาดหรือวิธีขายของที่ต่างกัน
- ปัจจุบันมี Facebook Page ที่เกี่ยวกับการขายของไม่น้อยกว่า 87,450 เพจ
- ปัจจุบันมีแมค้าบน Instagram ที่คอยฝากร้านกับดารา ไม่น้อยกว่า 11,213 ร้านค้า
พอจะรู้ภาพรวมของตลาด S-Commerce แล้วใช่ไหม? ต่อไปนี้เราจะพาไปดูเทคนิค 5 Step ที่ทำแล้วขายของได้ชัวร์ (ข้อมูลทั้งหมดออกมาจากปากผู้บริโภคเองเลยนะ!!)
Step 1 : ยั่วให้อยาก อย่าให้จากไป
4 วิธีกระตุ้นต่อม Need คน Gen-C มากที่สุด
- การแชร์รูปภาพสินค้าจากเพื่อนบน Social Media 48%
- โฆษณาบนหน้า Social Media ต่างๆ 45%
- ความคิดเห็นและคำแนะนำจาก Pantip 30%
- คอมเม้นท์ฝากร้านบน Instagram 13%
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า นอกจากการซื้อโฆษณาบน Social Media ต่างๆแล้วยังมีอีกวิธีที่ได้ผลสุดๆนั่นก็คือ การที่รูปสินค้าของเราถูกแชร์ออกไป เพราะเพื่อนของพวกเขาจะรู้สึกว่าสินค้าของเราต้องดีจริง เพื่อนถึงได้แชร์ออกไป เพราะฉะนั้นเวลาจะจัดกิจกรรมหรือโปรโมชั่นลองใส่ Gimmick แชร์ภาพสินค้าลงไปดูสิ!!!
Step 2 : Search ต้องเจอ อย่าให้เธอหลุดมือ!!
วิธีการหาค้นหาร้านค้าของคน Gen-C
- ค้นหาจาก Google 68%
- ค้นหาจาก Facebook Search 46%
- ค้นหาจาก Instagram 31%
แน่นอนว่าคนสมัยนี้ คิดอะไรไม่ออกบอก Google แม้แต่ในเรืองของการซื้อของออนไลน์ด้วยเพราะฉะนั้นการตั้งชื่อให้ตรงตามหลัก SEO (Search Engine Optimization) ก็เป็นอีกปัจจัยหลักๆในการให้ลูกค้าเข้าถึงร้านของคุณ หากคุณไม่มีความรู้ในเรื่องของ SEO ก็ลองเบสิคๆก่อนเช่น ขายอะไรก็ใส่ชื่อสินค้านั้นไปในชื่อร้าน หรือตรงคำบรรยายร้านก็ได้
Step 3 : อย่าปล่อยให้ลังเล หมั่นเทโปรโมชั่น
สิ่งที่ใช้ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้ากับร้านค้าต่างๆ
- ต้องมีบริการหลังการขาย 90%
- ต้องมีโปรโมชั่นจากทางร้านออกมาเป็นระยะ 87%
- ต้องอัพเดทสินค้าให้บ่อย อย่าปล่อยให้นาน 87%
- ตอบลูกค้าให้ไว ก่อนจะปันใจไปร้านอื่น 86%
- มีรีวิวจากลูกค้ารายอื่น 82%
- จำนวนผู้ติดตาม 75%
มาถึงอีกปัจจัยหลักที่ลูกค้าของเราจะใช้ตัดสินใจเลือกร้านค้าที่มีอยู่มากมายบน Social Media จากข้อมูลชี้ให้เห็นว่าเรื่องราคาหรือโปรโมชั่นไม่ใช่เรื่องอันดับหนึ่ง แต่บริหารหลังการขายต่างหากที่ลูกค้ากำลังมองหาเช่น ถ้าสินค้าชำรุด, ผิดสี ผิดไซส์สามารถเปลี่ยนหรือคืนได้ เพราะลูกค้าเหล่านี้เราไม่ได้ตั้งใจจะขายเขาแค่ครั้งเดียวแล้วจบกัน ถูกไหมครับ?
Step 4 : พร้อมปิดการขาย
4.1 วิธีการที่คนส่วนใหญ่มักใช้ติดต่อกับผู้ขายเพื่อสั่งซื้อสินค้า
- ทักไปที่ Inbox ของ Facebook Page 61%
- แชทใน LINE 46%
- แจ้งซื้อสินค้าผ่าน website 34%
แน่นอนว่าในยุคของ Social Media คงน้อยนักที่จะมีคนใช้วิธีโทรหรือส่งอีเมลล์เพื่อสั่งซื้อสินค้า จากข้อมูลจะเห็นว่าช่องทางการสื่อสารที่รวดเร็วและเป็นแบบตัวต่อตัวจะทำให้ลูกค้ารู้สึกสนิทใจกว่า เพราะฉะนั้นคนที่กำลังเปิดร้านค้าออนไลน์ต้องพร้อมทั้งเรื่องการตอบ inbox เพราะถ้าเราตอบช้าไปเพียงนาทีเดียว ลูกค้าของคุณอาจหันไปร้านคู่แข่งแทนและ LINE ยังคงเป็นอีกช่องทางสุดฮิตที่เอาไว้ใช้ในการสั่งซื้อสินค้าที่ร้านค้าจำเป็นต้องมี
4.2 วิธีการที่ผู้ซื้อมักใช้ในการชำระสินค้า
- โอนเงินผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร 66%
- ผ่านตู้ ATM 31%
- บัตรเครดิต 26%
- เก็บเงินปลายทาง 19%
- บริการธนาคารออนไลน์ (Mobile Banking) 19%
ถือว่าเป็นวิธีสุดเบสิคสำหรับการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารไม่ว่าจะด้วย Mobile Banking, ตู้ ATM หรือแม้แต่เดินเข้าไปเคาน์เตอร์ธนาคาร แต่แน่นอนร้านไหนมีบัญชีธนาคารที่ครบหรือมีช่องทางรับชำระเงินได้มากขึ้นเช่น สามาถรรับบัตรเครดิตได้ ก็จะทำให้ขายของง่ายขึ้นได้ด้วยเช่นกัน (พ่อค้า แม่ค้าท่านไหนอยากรับบัตรเครดิตและช่องทางรับชำระเงินแบบครบวงจรเพิ่มขึ้นสามารถเข้าไปดูได้ที่ https://pay.sn/
Step 5 : บริการหลังการขายต้องดี งั้นเจออีกทีใน Pantip
เรื่องดีแค่ “กระซิบ” แต่ถูกโกง “เลือดซิบ” ต้องลงเว็บบอร์ด
ถ้าพึงพอใจสินค้า
- โพสต์บนหน้า Social Media ตัวเอง 61%
- บน Wall ของร้านค้า 59%
- แชท LINE บอกผู้ขาย 51%
ถ้าไม่พึงพอใจล่ะก็…..
- โพสต์ลงบน Webboard 53%
อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าช่วงนี้เป็นยุคแห่งการทำอะไรต้องห้ามพลาดมิเช่นนั้นได้เกิดดราม่าแน่นอน แต่หากใครถูกเอาเปรียบจากร้านค้าออนไลน์สามารถเข้าไปร้องเรียนได้ที่ “ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนออนไลน์” ของ ETDA ที่ให้คำปรึกษาปัญหาข้อร้องเรียนพร้อมประสานเรื่องกับหรือส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ติดต่อได้ทั้งทางอีเมล: occ@etda.or.th สายด่วน: 02-123-1223 หรือ เว็บไซต์: http://occ.thaiemarket.com
credit : zocialinc.com